สำหรับชาว WordPress ทุกคน ใครที่เพิ่งสร้างเว็บไซต์เสร็จใหม่ๆ อาจจะกำลังรู้สึกว่าเว็บของเรามันยังดูโล่งๆ เรียบๆ เหมือนสมาร์ทโฟนที่เพิ่งซื้อมาแต่ยังไม่ได้ลงแอปอะไรเลยใช่ไหมคะ? บอกเลยว่า “ปลั๊กอิน” (Plugin) นี่แหละค่ะ คือสุดยอดแอปที่จะมาเติมพลังวิเศษให้เว็บไซต์ WordPress ของเรา จากเว็บธรรมดาๆ ให้กลายเป็นเว็บที่ทั้งสวย โปร โหลดเร็ว และติดอันดับ Google ได้ง่ายขึ้น
วันนี้เลยจะขออาสามาเปิดลิสต์ “10 ปลั๊กอิน WordPress ตัวท็อป” ที่คัดมาแล้วว่าดีจริง เป็นของที่ต้องมีติดเครื่อง ไม่ว่าคุณจะทำเว็บแนวไหน บล็อกส่วนตัว ร้านค้าออนไลน์ หรือเว็บธุรกิจ ลิสต์นี้จะช่วยให้ชีวิตการทำเว็บของคุณง่ายและดีขึ้นอีกหลายเท่าตัวเลยค่ะ
แต่ก่อนที่เราจะไปเจาะลึกว่ามีตัวไหนเด็ดๆ บ้าง เรามาทำความรู้จักกับพระเอกของเราในวันนี้กันก่อนดีกว่าค่ะ
ก่อนจะไปดูลิสต์… ‘ปลั๊กอิน’ มันคืออะไรกันนะ?
ให้ลองนึกภาพตามง่ายๆ นะคะ… WordPress ก็เหมือนสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่แกะกล่องที่เราเพิ่งซื้อมาเลยค่ะ ในตัวมันเองก็มีความสามารถพื้นฐานครบถ้วน โทรออก-รับสายได้ เล่นอินเทอร์เน็ตได้ ถ่ายรูปได้ แต่ถ้าเราอยากจะแต่งรูปสวยๆ คุยกับเพื่อนผ่านแอปแชท หรือสั่งอาหารเดลิเวอรี เราก็ต้องเข้าไปที่ App Store หรือ Play Store เพื่อดาวน์โหลดแอปพลิเคชันมาติดตั้งเพิ่มใช่ไหมคะ?
‘ปลั๊กอิน’ ก็คือ ‘แอปพลิเคชัน’ ของโลก WordPress นั่นเองค่ะ
มันคือโปรแกรมเสริมชิ้นเล็กๆ ที่เราสามารถเลือกติดตั้งเข้าไปในเว็บไซต์ WordPress ของเรา เพื่อเพิ่มฟังก์ชันการทำงานใหม่ๆ ที่ตัว WordPress เองไม่ได้มีมาให้ตั้งแต่แรก
คำถามคือ… ทำไม WordPress ไม่ใส่ทุกอย่างมาให้ครบเลยล่ะ? คำตอบก็เพื่อทำให้ตัวระบบหลัก (Core) ของ WordPress มีขนาดเล็ก เบา และทำงานได้เร็วที่สุดค่ะ เขาเปิดโอกาสให้เราในฐานะเจ้าของเว็บ เป็นคนเลือกเองว่าจะ “ติดตั้ง” ความสามารถพิเศษอะไรเพิ่มเข้าไปตามความต้องการของเรา ซึ่งมันดีมากๆ เพราะเราจะได้ไม่ต้องแบกฟังก์ชันที่เราไม่ได้ใช้ให้เว็บหนักและช้าลงโดยใช่เหตุ
ตัวอย่างเช่น
- อยากได้ฟอร์มติดต่อสวยๆ ให้ลูกค้ากรอก? -> ก็ลง ปลั๊กอินฟอร์ม
- อยากเปลี่ยนเว็บธรรมดาให้เป็นร้านค้าออนไลน์? -> ก็ลง ปลั๊กอิน E-commerce
- อยากให้เว็บของเราปลอดภัยจากแฮกเกอร์? -> ก็ลง ปลั๊กอินความปลอดภัย
- อยากวิเคราะห์ SEO ให้ติดหน้าแรก Google? -> ก็ลง ปลั๊กอิน SEO
พอจะเห็นภาพแล้วใช่ไหมคะว่าปลั๊กอินมันเจ๋งและสำคัญขนาดไหน? ถ้าอย่างนั้น… เราไปดูกันเลยดีกว่าค่ะว่า “ปลั๊กอินยอดนิยม” ที่เว็บของเราต้องมีติดเครื่องไว้มีอะไรบ้าง
1. Yoast SEO (หรือ Rank Math) – ผู้ช่วยมือหนึ่งเรื่อง SEO

ถ้าเปรียบการทำเว็บไซต์เป็นการเปิดร้านค้า การทำ SEO ก็เหมือนการทำป้ายร้านให้เด่นที่สุดบนถนนที่ชื่อว่า Google ค่ะ และ Yoast SEO ก็คือผู้ช่วยคนเก่งที่จะมาออกแบบป้ายร้านให้เรานั่นเอง
หลายคนอาจจะปวดหัวกับคำว่า SEO แต่ไม่ต้องกังวลไปค่ะ เพราะ Yoast จะทำให้เรื่องยากกลายเป็นเรื่องง่ายสุดๆ เวลาเราเขียนบทความหรือสร้างหน้าเว็บขึ้นมา มันจะมีระบบ “ไฟจราจร” (เขียว-เหลือง-แดง) คอยบอกเราแบบเรียลไทม์เลยว่าเนื้อหาของเราดีต่อ SEO หรือยัง ต้องปรับแก้คีย์เวิร์ดตรงไหน ความยาวเหมาะสมไหม อ่านง่ายหรือเปล่า เหมือนมีโค้ช SEO ส่วนตัวมานั่งประกบข้างๆ เลยค่ะ
นอกจากนี้ มันยังช่วยจัดการเรื่องทางเทคนิคที่น่าปวดหัวอย่างการตั้งค่า Meta Tag (ข้อความที่แสดงบน Google), การสร้าง Sitemap (แผนที่เว็บไซต์สำหรับ Google) และยังรองรับ Schema Markup ที่จะช่วยให้ Google เข้าใจว่าหน้าเว็บของเราเกี่ยวกับอะไร ทำให้ผลการค้นหาดูน่าสนใจมากขึ้นอีกด้วยค่ะ บอกเลยว่าไม่ว่าจะเป็นเว็บประเภทไหน นี่คือปลั๊กอินที่ต้องลงเป็นตัวแรกๆ เลยค่ะ ส่วนใครที่อยากลองของใหม่ Rank Math ก็เป็นอีกตัวเลือกที่มาแรงและฟีเจอร์จัดเต็มไม่แพ้กันเลย
2. Elementor (Page Builder) – เนรมิตเว็บสวยด้วยปลายนิ้ว

เคยไหมคะที่อยากจะปรับเลย์เอาต์หน้าเว็บนิดๆ หน่อยๆ แต่ทำไม่ได้เพราะติดเรื่องโค้ด? ปัญหานี้จะหมดไปถ้ามี Elementor ค่ะ! ปลั๊กอินตัวนี้คือไม้กายสิทธิ์สำหรับคนที่อยากออกแบบเว็บไซต์สวยๆ แต่เขียนโค้ดไม่เป็น
หลักการทำงานของมันง่ายมาก คือการ “ลากและวาง” (Drag & Drop) ค่ะ นึกภาพตามนะคะ…อยากได้ปุ่มตรงนี้ ก็ลากวิดเจ็ตปุ่มมาวาง อยากได้รูปภาพตรงนั้น ก็ลากรูปมาใส่ ทุกอย่างเกิดขึ้นแบบเรียลไทม์ เห็นผลลัพธ์ทันทีที่หน้าจอ ไม่ต้องคอยกด Preview ไปมาให้วุ่นวาย แถมยังมีเทมเพลตสวยๆ สำเร็จรูปให้เลือกใช้เป็นร้อยๆ แบบ แค่เลือกอันที่ชอบแล้วปรับแก้ข้อความกับรูปภาพนิดหน่อยก็ได้หน้าเว็บระดับมือโปรแล้ว ที่สำคัญคือมันออกแบบมาให้รองรับการแสดงผลบนมือถือ (Responsive Design) โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องห่วงว่าเว็บจะพังเวลาเปิดในจอเล็กๆ เลยค่ะ เหมาะสุดๆ สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือบล็อกเกอร์ที่อยากคุมดีไซน์เว็บด้วยตัวเอง
3. WPForms (หรือ Contact Form 7) – สร้างสะพานเชื่อมคุณกับลูกค้า

เว็บไซต์ที่ไม่มีช่องทางติดต่อก็เหมือนร้านค้าที่ไม่มีพนักงานคอยต้อนรับลูกค้าค่ะ WPForms คือเครื่องมือที่จะมาช่วยสร้าง “ฟอร์มติดต่อ” ที่ใช้งานง่ายและดูเป็นมิตร ทำให้ลูกค้าสามารถส่งข้อความหาเราได้สะดวกสุดๆ
ลืมภาพการสร้างฟอร์มที่ต้องเขียนโค้ดยุ่งๆ ไปได้เลย เพราะ WPForms ใช้วิธีลากวางเหมือนกับ Elementor ค่ะ อยากได้ช่องใส่ชื่อ, อีเมล, เบอร์โทร หรือกล่องข้อความ ก็แค่ลากมาวางเรียงกัน ปรับแต่งนิดหน่อยก็พร้อมใช้งานแล้ว จุดเด่นของมันคือระบบแจ้งเตือนที่จะส่งทุกข้อความจากลูกค้าเข้าอีเมลเราทันที ทำให้ไม่พลาดทุกการติดต่อที่สำคัญ และยังมีระบบป้องกันสแปมอย่าง reCAPTCHA ช่วยคัดกรองข้อความขยะไม่ให้มากวนใจเราอีกด้วยค่ะ สำหรับใครที่มองหาตัวเลือกฟรีๆ ที่เรียบง่าย Contact Form 7 ก็ยังเป็นปลั๊กอินยอดนิยมที่ใช้งานได้ดีเช่นกันค่ะ
4. WooCommerce – เปลี่ยนเว็บธรรมดาให้เป็นร้านค้าออนไลน์

สำหรับใครที่ฝันอยากจะมีร้านค้าออนไลน์เป็นของตัวเองบน WordPress ปลั๊กอินตัวนี้คือคำตอบสุดท้ายค่ะ WooCommerce คือปลั๊กอินที่จะแปลงโฉมเว็บไซต์ของคุณให้กลายเป็นร้านค้าอีคอมเมิร์ซเต็มรูปแบบที่ทรงพลังและครบวงจรที่สุด
แค่ติดตั้ง WooCommerce ลงไป คุณก็จะมีระบบจัดการทุกอย่างที่ร้านค้าออนไลน์ต้องมี ตั้งแต่การลงสินค้าพร้อมรายละเอียด รูปภาพ ราคา, ระบบสต็อกสินค้า, ระบบตะกร้าสินค้าให้ลูกค้ากดช็อป, ไปจนถึงการเชื่อมต่อกับช่องทางการชำระเงินหลากหลายรูปแบบในไทย (เช่น โอนเงิน, บัตรเครดิต, PromptPay) และยังมีระบบรายงานยอดขายที่ช่วยให้เราวิเคราะห์ข้อมูลได้ง่ายๆ อีกด้วย เรียกว่าเป็นหัวใจหลักของเว็บขายของบน WordPress เลยทีเดียว ใครจะทำเว็บขายของต้องมีตัวนี้เท่านั้นค่ะ
5. LiteSpeed Cache (หรือ W3 Total Cache / WP Rocket) – เสกเว็บให้เร็วติดจรวด

ในยุคที่คนใจร้อนแค่ 3 วินาที ถ้าเว็บโหลดช้าก็อาจเสียลูกค้าไปตลอดกาล LiteSpeed Cache คือปลั๊กอินที่จะมาช่วยเร่งความเร็วให้เว็บไซต์ของเราแบบก้าวกระโดดค่ะ
หลักการของมันคือการสร้าง “แคช” (Cache) หรือก็คือการสร้างสำเนาหน้าเว็บของเราเก็บไว้ล่วงหน้า พอมีคนเข้ามาดูเว็บอีกครั้ง เซิร์ฟเวอร์ก็ไม่ต้องประมวลผลใหม่ทั้งหมด แต่จะส่งสำเนาที่เตรียมไว้นี้ไปให้เลย ทำให้เว็บแสดงผลได้เร็วขึ้นมากๆ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์เด็ดๆ อย่างการบีบอัดรูปภาพ (Image Optimization), การทยอยโหลดรูปภาพ (Lazy Load) ที่จะโหลดเฉพาะรูปที่อยู่บนหน้าจอ และยังรองรับ CDN (Content Delivery Network) ที่ช่วยให้คนจากทั่วโลกเข้าเว็บเราได้เร็วขึ้นอีกด้วยค่ะ สำหรับใครที่ไม่ได้ใช้โฮสติ้ง LiteSpeed ก็ยังมีตัวเลือกเทพๆ อย่าง W3 Total Cache หรือ WP Rocket (ตัวนี้เสียเงินแต่ดีมาก) ให้เลือกใช้ค่ะ
6. UpdraftPlus – อุ่นใจไม่กลัวเว็บพัง

นึกภาพว่าเราใช้เวลาทำเว็บมาเป็นเดือนๆ แล้ววันหนึ่งเกิดเหตุไม่คาดฝัน เว็บล่ม ข้อมูลหาย หรือโดนแฮก…คงเป็นฝันร้ายน่าดูใช่ไหมคะ? UpdraftPlus คือกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับเว็บไซต์ ที่จะช่วยให้เรานอนหลับได้อย่างสบายใจค่ะ
ปลั๊กอินตัวนี้คือระบบสำรองข้อมูล (Backup) อัตโนมัติที่ดีที่สุดตัวหนึ่งเลย เราสามารถตั้งเวลาให้มันแบ็กอัปไฟล์และฐานข้อมูลทั้งหมดของเว็บไซต์ได้ทุกวัน ทุกสัปดาห์ หรือทุกเดือน แล้วส่งไปเก็บไว้ในที่ปลอดภัยอย่าง Google Drive, Dropbox หรืออีเมลของเรา และเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาจริงๆ เราสามารถกู้คืนเว็บไซต์ให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ด้วยการคลิกเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น! บอกเลยว่านี่คือสิ่งที่ทุกเว็บไซต์ต้องทำ ห้ามมองข้ามเด็ดขาด โดยเฉพาะเว็บที่มีการอัปเดตข้อมูลบ่อยๆ ค่ะ
7. Wordfence Security – ยามเฝ้าประตูหน้าบ้านดิจิทัล

มีบ้านแล้วก็ต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยใช่ไหมคะ เว็บไซต์ก็เหมือนกันค่ะ Wordfence Security คือยามฝีมือดีที่จะมาคอยปกป้องเว็บไซต์ของเราจากการโจมตีของแฮกเกอร์, มัลแวร์ และสแปมต่างๆ
Wordfence จะทำหน้าที่เป็นทั้ง Firewall คอยดักจับทราฟฟิกน่าสงสัยก่อนจะเข้ามาถึงเว็บของเรา และยังมีระบบสแกนมัลแวร์ (Malware Scan) ที่จะคอยตรวจหาไฟล์หรือโค้ดแปลกปลอมที่อาจแฝงตัวอยู่ ถ้าเจอปัญหาเมื่อไหร่ มันจะส่งอีเมลแจ้งเตือนเราทันที พร้อมบอกวิธีแก้ไขเบื้องต้นด้วย ทำให้เรารู้ตัวและจัดการปัญหาได้อย่างรวดเร็ว การมีปลั๊กอินความปลอดภัยดีๆ สักตัวติดไว้ ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพื่อปกป้องทรัพย์สินดิจิทัลของเราค่ะ
8. Redirection – จัดการลิงก์เสีย ป้องกัน SEO พัง
เคยคลิกลิงก์เข้าไปแล้วเจอหน้า “404 Not Found” ไหมคะ? ความรู้สึกนั้นไม่ดีเลยใช่ไหม ทั้งสำหรับผู้ใช้งานและสำหรับ SEO ค่ะ Redirection คือปลั๊กอินเล็กๆ แต่ทรงพลังที่จะมาช่วยจัดการปัญหานี้
เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเปลี่ยน URL ของหน้าเพจ หรือลบหน้าเก่าทิ้งไป คนที่เคยเข้าลิงก์เดิมหรือ Google Bot ที่เคยเก็บข้อมูลไปแล้วจะหาหน้านั้นไม่เจอ ปลั๊กอินตัวนี้จะช่วยให้เราสร้าง “การเปลี่ยนเส้นทาง” (Redirect) จากลิงก์เก่าไปยังลิงก์ใหม่ที่ถูกต้องได้ง่ายๆ เช่น ถ้ามีคนเข้า mysite.com/old-page มันจะส่งต่อไปยัง mysite.com/new-page ให้โดยอัตโนมัติ ช่วยรักษาประสบการณ์ที่ดีของผู้ใช้งานและไม่ทำให้คะแนน SEO ของเราตกหล่นไปอย่างน่าเสียดายค่ะ
9. Smush (หรือ ShortPixel) – ตัวช่วยลดขนาดให้รูปภาพ
เว็บไซต์ที่มีรูปภาพสวยๆ เยอะๆ มักจะเจอปัญหาเว็บโหลดช้าเพราะไฟล์รูปมีขนาดใหญ่เกินไป Smush คือฮีโร่ที่จะมาช่วย “ลดขนาด” ให้รูปภาพของเราค่ะ
ปลั๊กอินตัวนี้จะทำการบีบอัดไฟล์รูปภาพทั้งหมดในเว็บของเราโดยอัตโนมัติ ทำให้ขนาดไฟล์เล็กลงมากโดยที่แทบไม่สูญเสียความคมชัดเลย ผลลัพธ์ก็คือหน้าเว็บของเราจะโหลดเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Lazy Load ที่จะยังไม่โหลดรูปที่อยู่นอกสายตาจนกว่าผู้ใช้จะเลื่อนไปถึง ช่วยลดภาระการโหลดหน้าเว็บในครั้งแรกได้อีกด้วย เหมาะสุดๆ สำหรับเว็บที่มีรูปเยอะๆ เช่น เว็บรีวิว, บล็อกท่องเที่ยว, ร้านอาหาร หรือเว็บพอร์ตโฟลิโอค่ะ อีกหนึ่งตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันก็คือ ShortPixel ค่ะ
10. Duplicate Post / Yoast Duplicate Post – ก๊อปปี้งานง่ายๆ ในคลิกเดียว
สำหรับคนที่ต้องสร้างหน้าเว็บหรือโพสต์ที่มีโครงสร้างคล้ายๆ กันบ่อยๆ การต้องมานั่งจัดเลย์เอาต์ใหม่ทุกครั้งคงจะน่าเบื่อไม่น้อย Yoast Duplicate Post (หรือชื่อเดิมคือ Duplicate Post) จะเข้ามาช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะเลยค่ะ
ปลั๊กอินนี้เพิ่มฟังก์ชันง่ายๆ แต่มีประโยชน์สุดๆ เข้ามาในหน้า Posts/Pages ของเรา นั่นคือปุ่ม “Clone” หรือ “Duplicate” แค่คลิกเดียว เราก็จะได้หน้าหรือโพสต์ใหม่ที่มีเนื้อหาและเลย์เอาต์เหมือนต้นฉบับเป๊ะๆ จากนั้นเราก็แค่เข้าไปแก้ไขข้อความหรือรูปภาพเล็กๆ น้อยๆ ก็พร้อมเผยแพร่แล้ว ช่วยประหยัดเวลาไปได้มหาศาล เหมาะมากสำหรับคนที่ทำหน้าสินค้า, หน้าโปรโมชัน หรือบทความที่มีรูปแบบซ้ำๆ กันค่ะ
และนี่ก็คือ 10 ปลั๊กอินสามัญประจำเว็บที่อยากแนะนำให้ทุกคนมีติดไว้ค่ะ การเลือกใช้ปลั๊กอินที่ใช่ก็เหมือนการเลือกทีมงานฝีมือดีมาช่วยดูแลเว็บไซต์ของเราในด้านต่างๆ แต่ก็มีข้อควรระวังนิดนึงนะคะ คืออย่าติดตั้งปลั๊กอินเยอะเกินความจำเป็น เพราะอาจทำให้เว็บช้าลงได้ ให้เลือกเฉพาะตัวที่ตอบโจทย์และจำเป็นจริงๆ เท่านั้นค่ะ
หวังว่าลิสต์นี้จะเป็นประโยชน์และช่วยให้เพื่อนๆ สนุกกับการสร้างสรรค์เว็บไซต์ WordPress ของตัวเองมากขึ้นนะคะ ถ้ามีคำถามหรืออยากแนะนำปลั๊กอินตัวไหนเพิ่มเติมก็คอมเมนต์คุยกันได้เลยค่ะ