ถ้าคุณเคยลองหาข้อมูลเรื่องการสร้างเว็บไซต์ พนันได้เลยว่าอาจจะเคยได้ยินคำว่า “WordPress” บ่อยๆ จนเริ่มสงสัยว่า WordPress คืออะไร? ทำไมคนถึงเลือกใช้กันเยอะขนาดนี้? แล้วทำไมแพลตฟอร์มนี้ถึงได้รับความนิยมอย่างถล่มทลาย จนกลายเป็นเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่คนทั่วโลกเลือกใช้มากที่สุด
วันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยและเจาะลึกถึงข้อดีที่ทำให้การ ทำเว็บไซต์ WordPress เป็นตัวเลือกยอดฮิตของทั้งมือใหม่และมืออาชีพกันค่ะ
WordPress คืออะไร? ทำความเข้าใจ CMS ที่คนใช้เยอะที่สุด
ก่อนจะไปดูข้อดีต่างๆ เรามาทำความรู้จักกันก่อนแบบง่ายๆ กันค่ะ ลองจินตนาการว่าเว็บไซต์ก็เหมือนบ้านหลังหนึ่ง โครงสร้างของบ้านอาจจะซับซ้อน มีเสาเข็ม คาน หลังคา แต่สิ่งที่เราในฐานะเจ้าของบ้านต้องการ คือการเข้าไปตกแต่ง จัดวางเฟอร์นิเจอร์ ทาสี หรือปรับเปลี่ยนห้องต่างๆ ได้อย่างสะดวกสบาย เจ้า WordPress ก็ทำหน้าที่คล้ายๆ กับ “ระบบจัดการภายในบ้าน” หลังนั้นค่ะ มันคือระบบจัดการเนื้อหา (Content Management System หรือ CMS) ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นตัวกลางให้เราสามารถสร้างและบริหารจัดการเว็บไซต์ได้โดยไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งกับโค้ดโปรแกรมที่ซับซ้อน
พูดง่ายๆ ก็คือ WordPress เป็นเครื่องมือที่เปลี่ยนเรื่องการเขียนโค้ดทำเว็บไซต์ยากๆ ให้กลายเป็นเรื่องง่ายที่เราสามารถคลิก ลาก วาง และพิมพ์ เหมือนกับการใช้งานโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทั่วไปเลยทีเดียวค่ะ
ทีนี้ เรามาดูกันดีกว่าว่า ข้อดี WordPress ที่มัดใจคนทั้งโลกนั้นมีอะไรบ้าง
5 ข้อดีของการทำเว็บไซต์ด้วย WordPress
1. ใช้ง่ายเหมือนเขียนอีเมล ไม่ต้องเป็นโปรแกรมเมอร์ก็ทำได้
นี่อาจเป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ WordPress ครองใจผู้ใช้งาน ตั้งแต่ระดับเริ่มต้นไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ ระบบหลังบ้าน (Dashboard) ของ WordPress ถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่ายและเป็นมิตร คุณไม่จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องการเขียนโค้ด HTML, CSS หรือ PHP เลยแม้แต่น้อย
อยากจะเพิ่มหน้าเพจใหม่? แค่คลิกไม่กี่ครั้งก็ทำได้ อยากจะเขียนบทความใหม่? หน้าตาของเครื่องมือเขียนบทความ (Block Editor) ก็คล้ายกับการใช้โปรแกรมอย่าง Microsoft Word ที่เราคุ้นเคยกันดีค่ะ คุณสามารถพิมพ์ข้อความ แทรกรูปภาพ วิดีโอ หรือสร้างตารางได้อย่างอิสระ เมื่อทำเสร็จก็แค่กดปุ่ม “เผยแพร่” (Publish) เนื้อหานั้นก็จะไปปรากฏบนหน้าเว็บไซต์ของคุณทันที
ความง่ายดายนี้ให้ความสะดวกกับเจ้าของธุรกิจและเจ้าของเว็บไซต์อย่างมาก คุณไม่จำเป็นต้องรอหรือจ้างโปรแกรมเมอร์ทุกครั้งที่ต้องการอัปเดตข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ เช่น การเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์, การประกาศโปรโมชั่นใหม่ หรือการเพิ่มบทความที่เป็นประโยชน์ต่อลูกค้า ทำให้เว็บไซต์ของคุณมีความสดใหม่และเคลื่อนไหวอยู่เสมอ
2. มีความยืดหยุ่น แถมปรับโฉมเติมฟังก์ชันได้ตามใจ
โลกของ WordPress เปรียบเสมือนสนามเด็กเล่นขนาดใหญ่ที่คุณสามารถสร้างสรรค์อะไรก็ได้ตามจินตนาการ ความยืดหยุ่นนี้มาจาก 2 องค์ประกอบหลัก คือ ธีม (Themes) และ ปลั๊กอิน (Plugins)
- ธีม (Themes) คือ “ชุดเสื้อผ้า” หรือ “ดีไซน์” ของเว็บไซต์คุณ มีธีมให้เลือกใช้หลายหมื่นแบบ ทั้งแบบฟรีและเสียเงิน ไม่ว่าคุณอยากจะทำเว็บไซต์บริษัทที่ดูน่าเชื่อถือ, ร้านกาแฟสไตล์มินิมอล, เว็บไซต์โชว์ผลงาน (Portfolio) สุดอาร์ต หรือบล็อกท่องเที่ยวสีสันสดใส คุณสามารถหาธีมที่ตอบโจทย์และติดตั้งได้ในไม่กี่คลิก การเปลี่ยนธีมก็เหมือนการเปลี่ยนโฉมเว็บไซต์ใหม่ทั้งหมดโดยที่เนื้อหาเดิมของคุณยังอยู่ครบถ้วน
- ปลั๊กอิน (Plugins) ถ้าธีมคือหน้าตา ปลั๊กอินก็คือ “ความสามารถพิเศษ” ที่เราสามารถติดตั้งเพิ่มเติมได้ ลองนึกถึงสมาร์ทโฟนที่เราสามารถลงแอปพลิเคชันเพื่อเพิ่มฟังก์ชันต่างๆ ได้ ปลั๊กอินก็ทำงานแบบเดียวกันเลยค่ะ
- อยากทำร้านค้าออนไลน์? ติดตั้งปลั๊กอิน WooCommerce ก็เปลี่ยนเว็บธรรมดาให้เป็น E-commerce เต็มรูปแบบได้ทันที
- อยากให้มีช่องทางติดต่อ (Contact Form)? มีปลั๊กอินให้เลือกใช้มากมาย
- อยากทำระบบจองคิวออนไลน์สำหรับร้านอาหารหรือคลินิก? ก็มีปลั๊กอินสำหรับทำระบบนัดหมาย
- อยากปรับปรุงความเร็วเว็บไซต์? ก็มีปลั๊กอินช่วยจัดการให้
ด้วยความสามารถของธีมและปลั๊กอินการ ทำเว็บไซต์ WordPress จึงไม่มีข้อจำกัด คุณสามารถเริ่มต้นจากเว็บไซต์เล็กๆ แล้วค่อยๆ เติบโต เพิ่มฟังก์ชันการทำงานที่ซับซ้อนขึ้นในอนาคตได้เรื่อยๆ เลยค่ะ
3. โครงสร้างเป็นมิตรกับ SEO (SEO-Friendly) ช่วยให้ติดอันดับ Google ง่ายขึ้น
การมีเว็บไซต์ที่สวยงามแต่ไม่มีใครหาเจอก็คงไม่มีประโยชน์อะไรจริงไหมคะ? ข่าวดีก็คือ WordPress ถูกออกแบบโครงสร้างมาให้เป็นมิตรกับการทำ SEO (Search Engine Optimization) หรือการปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อให้ติดอันดับที่ดีบน Google ตั้งแต่เริ่มต้น
โค้ดของ WordPress นั้นเป็นระเบียบและเข้าใจง่ายสำหรับ Google Bot ที่จะคอยเข้ามาตรวจสอบเนื้อหาเว็บไซต์ของคุณ และนำส่งข้อมูลทำให้ Search Engine อย่าง Google เข้าใจเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณได้ง่าย นอกจากนี้ คุณยังสามารถปรับแต่งองค์ประกอบสำคัญของ SEO ได้อย่างสะดวกสบาย เช่น การตั้งชื่อ URL ให้สื่อความหมาย (Permalinks), การใส่คำอธิบายหน้าเว็บ (Meta Description) หรือการสร้างแผนผังเว็บไซต์ (Sitemap)
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีปลั๊กอิน SEO ที่ทั่วโลกนิยมใช้กันอย่าง Yoast SEO หรือ Rank Math ที่เปรียบเสมือนผู้ช่วยส่วนตัว คอยแนะนำและให้คะแนนว่าเนื้อหาของคุณเป็นมิตรกับ SEO มากน้อยแค่ไหน ทำให้แม้แต่คนที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญก็สามารถปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีโอกาสติดอันดับบน Google ได้ดีขึ้น
4. มีผู้ใช้จำนวนมาก ปลอดภัย และมีชุมชน (Community) คอยซัพพอร์ต
WordPress เป็นซอฟต์แวร์แบบโอเพนซอร์ส (Open Source) ที่มีผู้ใช้มากกว่า 40% ของเว็บไซต์ทั้งหมดในโลก ซึ่งหมายความว่ามันถูกพัฒนาขึ้นโดยชุมชนนักพัฒนาจากทั่วทุกมุมโลก และเมื่อคุณเจอปัญหาหรือมีข้อสงสัย มักจะมีคนอื่นที่เคยเจอปัญหาเดียวกันและมีวิธีแก้ไขแล้ว นี่จึงเป็นจุดแข็งที่สำคัญของ WordPress ที่เราอยากนำเสนอ
มีชุมชน (Community) ผู้ใช้ขนาดใหญ่ – ไม่ว่าคุณจะเจอปัญหาอะไร หรือมีคำถามสงสัยตรงไหน แค่ค้นหาใน Google คุณจะเจอบทความ, วิดีโอสอน หรือฟอรัมพูดคุยที่พร้อมจะให้คำตอบและแนวทางแก้ไขเสมอ
มีการอัปเดตอยู่เสมอ – ทีมงานหลักและชุมชนนักพัฒนาจะคอยตรวจสอบหาช่องโหว่ด้านความปลอดภัยและพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ทำให้มีการปล่อยเวอร์ชันอัปเดตออกมาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณปลอดภัยจากแฮกเกอร์และทำงานร่วมกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้อย่างราบรื่น
ระบบแบ็คอัปที่เชื่อถือได้ – มีปลั๊กอินแบ็คอัปมากมายที่ช่วยสำรองข้อมูลเว็บไซต์ของคุณอย่างอัตโนมัติ ทำให้คุณไม่ต้องกังวลว่าข้อมูลจะสูญหายหากเกิดเหตุไม่คาดคิด
การรักษาความปลอดภัยที่ครอบคลุม – มีปลั๊กอินรักษาความปลอดภัยอย่าง Wordfence หรือ Sucuri ที่ช่วยป้องกันการโจมตีจากแฮกเกอร์ ตรวจสอบไฟล์ที่ผิดปกติ และแจ้งเตือนเมื่อมีกิจกรรมที่น่าสงสัย
เอกสารและบทเรียนมากมาย – เนื่องจากมีคนใช้เยอะ จึงมีเอกสาร บทความ คลิปสอน และคอร์สเรียนเกี่ยวกับ WordPress มากมาย ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ทำให้คุณสามารถเรียนรู้และพัฒนาทักษะได้อย่างต่อเนื่อง
5. เหมาะกับทุกประเภทธุรกิจ ตั้งแต่บล็อกส่วนตัวไปถึงร้านค้าออนไลน์
ไม่ว่าเป้าหมายในการสร้างเว็บไซต์ของคุณคืออะไร WordPress ก็สามารถปรับตัวให้เข้ากับความต้องการได้ทุกรูปแบบ
- เว็บไซต์บริษัทและองค์กร : WordPress เหมาะสำหรับสร้างเว็บไซต์บริษัทหรือองค์กรทุกขนาด ไม่ว่าจะเป็นบริษัทสตาร์ทอัพเล็กๆ หรือบริษัทขนาดใหญ่ก็ตาม มีธีมที่ออกแบบมาเพื่อแสดงข้อมูลบริษัท ผลงาน ทีมงาน และข้อมูลติดต่ออย่างสวยงามและเป็นระบบ
- ร้านค้าออนไลน์ : ด้วยปลั๊กอิน WooCommerce ที่มีชื่อเสียงที่จะช่วย สร้างเว็บไซต์ขายของ WordPress ให้กลายเป็นร้านค้าออนไลน์ที่สมบูรณ์แบบได้ รองรับการขายสินค้าทั้งแบบดิจิทัลและสินค้าจริง มีระบบจัดการสต็อก ระบบจ่ายเงิน และระบบจัดส่งครบครัน
- บล็อกและเว็บไซต์ข่าว : WordPress เริ่มต้นเป็นแพลตฟอร์มบล็อก จึงมีฟีเจอร์ที่เหมาะสำหรับการเขียนบทความและแบ่งปันเนื้อหาอย่างสมบูรณ์ มีระบบจัดหมวดหมู่ แท็ก ความเห็น และการแบ่งปันโซเชียลมีเดีย
- เว็บไซต์ให้บริการ : สำหรับธุรกิจให้บริการต่างๆ อย่างคลินิกความงาม สถาบันกวดวิชา หรือบริษัทที่ปรึกษา WordPress มีธีมและปลั๊กอินที่ช่วยแสดงบริการ รับจองคิว และจัดการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เว็บไซต์ชุมชนและสมาชิก : สามารถสร้างเว็บไซต์ชุมชนหรือระบบสมาชิกที่ให้สมาชิกลงทะเบียน เข้าสู่ระบบ แบ่งปันเนื้อหา และปฏิสัมพันธ์กัน เหมาะสำหรับการสร้างชุมชนออนไลน์หรือเว็บไซต์การศึกษา
- เว็บไซต์แกลเลอรี่และพอร์ตโฟลิโอ : สำหรับศิลปิน ช่างภาพ หรือดีไซเนอร์ที่ต้องการแสดงผลงาน WordPress มีธีมที่ออกแบบมาเพื่อแสดงภาพและผลงานอย่างสวยงาม พร้อมระบบแกลเลอรี่ที่ใช้งานง่าย
ทำไม WordPress จึงเป็นคำตอบ?
เมื่อรวมข้อดีทั้งหมดแล้ว WordPress จึงเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับคนที่ต้องการเว็บไซต์ที่มีคุณภาพโดยไม่ต้องใช้เงินทุนมากมายหรือมีความรู้ด้านเทคนิคสูง ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของร้านขายของออนไลน์ นักเขียนที่อยากมีบล็อกส่วนตัว หรือบริษัทที่ต้องการเว็บไซต์เพื่อแสดงตัวตน WordPress มีทุกอย่างที่คุณต้องการ และที่สำคัญคือคุณสามารถควบคุมเนื้อหาและความเป็นเจ้าของเว็บไซต์ได้อย่างเต็มที่
แม้ว่าจะมีทางเลือกอื่นๆ ในตลาด แต่ WordPress ยังคงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดระหว่างความง่าย ความยืดหยุ่น และความสามารถ นี่คือเหตุผลที่ทำให้ผู้คนทั่วโลกเลือกใช้ WordPress เป็นจำนวนมาก และคงจะยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปในอนาคต
ดังนั้น หากคุณกำลังมองหาเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้ มีประสิทธิภาพ และพร้อมจะเติบโตไปกับคุณในระยะยาว ตอนนี้คุณคงได้คำตอบแล้วว่าทำไมใครๆ ต่างก็เลือกใช้ WordPress และบางที มันอาจจะเป็นคำตอบสำหรับโปรเจกต์ต่อไปของคุณเช่นกันค่ะ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับการทำเว็บไซต์ WordPress
หลังจากได้เห็นข้อดีมากมายของ WordPress กันไปแล้ว หลายคนอาจยังมีคำถามเล็กๆ น้อยๆ ค้างคาใจอยู่ เราได้รวบรวมคำถามยอดฮิตที่มักถูกถามบ่อยๆ มาตอบให้หายสงสัยกันตรงนี้เลย
WordPress.com กับ WordPress.org ต่างกันอย่างไร? อันไหนคืออันที่พูดถึงในบทความนี้?
นี่เป็นคำถามที่สำคัญมากและสร้างความสับสนให้มือใหม่บ่อยที่สุดค่ะ ขออธิบายง่ายๆ โดยใช้การเปรียบเทียบกับ “บ้าน” นะคะ
- WordPress.com เปรียบเสมือน “การเช่าอพาร์ทเมนท์” คุณได้พื้นที่พร้อมอยู่ทันที ใช้งานง่ายมาก มีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น ไม่สามารถติดตั้งธีมหรือปลั๊กอินบางตัวได้ (โดยเฉพาะในแพลนฟรีหรือแพลนราคาถูก) และชื่อโดเมนของคุณอาจจะมี .wordpress.com ต่อท้าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการทำบล็อกส่วนตัวง่ายๆ และไม่ต้องการปรับแต่งอะไรมากนัก
- WordPress.org เปรียบเสมือน “การสร้างบ้านบนที่ดินของตัวเอง” คุณต้องไป “เช่าที่ดิน” คือ เว็บโฮสติ้ง (Web hosting) และ “จดทะเบียนบ้านเลขที่” คือ โดเมนเนม (Domain Name) ด้วยตัวเองก่อน แล้วจึงนำซอฟต์แวร์ WordPress (ตัวบ้าน) ไปติดตั้ง ซึ่งให้อิสระกับคุณเต็ม 100% ในการออกแบบ ตกแต่ง และติดตั้งฟังก์ชันเสริม (ปลั๊กอิน) ได้ทุกอย่างตามที่ใจต้องการ
โดยบทความนี้ทั้งหมด พูดถึง WordPress.org ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่ให้ความยืดหยุ่นและเป็นที่นิยมสำหรับการสร้างเว็บไซต์ธุรกิจ
สรุปแล้วการทำเว็บไซต์ WordPress “ฟรี” จริงหรือไม่?
ตัวซอฟต์แวร์ของ WordPress.org นั้น ฟรี ค่ะ คุณสามารถดาวน์โหลดมาใช้งานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่การที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณออนไลน์และให้คนอื่นเข้าชมได้นั้น จะมีค่าใช้จ่ายที่จำเป็นอยู่ 2 ส่วนหลักๆ คือ:
- โดเมนเนม (Domain Name) คือ ชื่อเว็บไซต์ของคุณ เช่น MyAwesomeBusiness.com เปรียบเสมือนค่าจดทะเบียนบ้านเลขที่ ซึ่งต้องจ่ายเป็นรายปี (ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 300-500 บาทต่อปี หรือมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับคำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง เช่น ประกันภัย (insurance), การท่องเที่ยว (vacation rentals), หรือคำที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี (chat, NFTs))
- เว็บโฮสติ้ง (Web Hosting) คือ พื้นที่สำหรับเก็บข้อมูลเว็บไซต์ทั้งหมดของคุณบนอินเทอร์เน็ต เปรียบเสมือนค่าเช่าที่ดินสำหรับสร้างบ้าน มีค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือนหรือรายปี (มีให้เลือกหลายราคา ตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักพันบาทต่อเดือน ขึ้นอยู่กับคุณภาพและขนาด)
ดังนั้น แม้ตัวซอฟต์แวร์จะฟรี แต่ก็มีค่าใช้จ่ายในการ “ดำเนินงาน” แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับการจ้างทำเว็บไซต์ตั้งแต่ศูนย์ หรือการใช้แพลตฟอร์มอื่นในระยะยาว WordPress ถือเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าค่ะ
ต้องมีเว็บโฮสติ้ง (Web Hosting) ด้วยใช่ไหม? มันคืออะไร?
ใช่ค่ะ สำหรับ WordPress.org คุณจำเป็นต้องมีเว็บโฮสติ้ง
ลองจินตนาการว่าไฟล์เว็บไซต์ของคุณ (รูปภาพ, ข้อความ, โค้ดต่างๆ) คือเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน เว็บโฮสติ้งก็คือ “ที่ดินและตัวบ้าน” ที่เอาไว้เก็บของทั้งหมดนี้ และต้องเปิดประตู (ออนไลน์) ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้เมื่อมีคนพิมพ์ชื่อเว็บไซต์ของคุณเข้ามา พวกเขาก็จะสามารถเข้ามาเยี่ยมชมบ้านของคุณได้ทันที
ข่าวดีคือ ปัจจุบันผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้งส่วนใหญ่มีบริการ “ติดตั้ง WordPress ใน 1 คลิก” ทำให้ขั้นตอนการติดตั้งทางเทคนิคที่เคยยุ่งยาก กลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคนค่ะ
หากอยากรู้เกี่ยวกับ เว็บโฮสติ้ง (Web Hosting) เพิ่มเติมคลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้เลยค่ะ
การดูแลรักษาเว็บไซต์ WordPress ยุ่งยากไหม? ต้องทำอะไรบ้าง?
การดูแลรักษาไม่ยุ่งยาก แต่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอค่ะ เหมือนการดูแลรถยนต์ที่ต้องมีการเช็กระยะ เพื่อให้ทำงานได้ดีและปลอดภัยอยู่เสมอ สิ่งที่ต้องทำหลักๆ มีอยู่ 2 อย่างคือ
การสำรองข้อมูล (Backup) คือการสร้างไฟล์สำเนาของเว็บไซต์ทั้งหมดเก็บไว้ ในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน คุณจะได้สามารถกู้คืนเว็บไซต์กลับมาได้ง่ายๆ ปัจจุบันโฮสติ้งหลายเจ้ามีบริการ Backup อัตโนมัติ หรือจะใช้ปลั๊กอินช่วยก็ได้เช่นกัน
การอัปเดต (Updates) คุณจะได้รับการแจ้งเตือนในระบบหลังบ้านเมื่อมีเวอร์ชันใหม่ของ WordPress, ธีม หรือปลั๊กอิน ออกมาให้อัปเดต ซึ่งส่วนใหญ่แล้วใช้เวลาแค่ไม่กี่คลิก การอัปเดตเป็นประจำเป็นสิ่งสำคัญมากเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพของเว็บไซต์
WordPress ปลอดภัยจริงหรือ? เคยได้ยินว่าโดนแฮกง่าย
WordPress เองโดยพื้นฐานแล้วมีความปลอดภัยสูงมาก แต่ที่มาของข่าว “เว็บ WordPress โดนแฮก” มักไม่ได้มาจากช่องโหว่ของตัว WordPress หลักโดยตรง แต่มาจากปัจจัยเหล่านี้ค่ะ
- การไม่ยอมอัปเดต: ใช้ปลั๊กอิน, ธีม, หรือ WordPress เวอร์ชันเก่าที่มีช่องโหว่
- ใช้รหัสผ่านที่เดาง่าย เช่น admin หรือ 123456
- ดาวน์โหลดธีม/ปลั๊กอินจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ ซึ่งอาจมีโค้ดประสงค์ร้ายแฝงมา
เปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนบ้านที่แข็งแรง แต่เจ้าของบ้านใช้กุญแจที่บอบบาง หรือเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ การดูแลเว็บไซต์ WordPress ให้ปลอดภัยจึงเป็นความรับผิดชอบของเจ้าของเว็บ ด้วยการตั้งรหัสผ่านที่รัดกุม, อัปเดตสม่ำเสมอ และเลือกใช้แต่ของจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ควบคู่ไปกับการติดตั้งปลั๊กอินด้านความปลอดภัยเสริม ก็จะทำให้เว็บไซต์ของคุณปลอดภัยมากขึ้นค่ะ
